ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ได่แก่
1. การรับรู้เกี่ยวกับสถานภาพสุขภาพ
ผู้สูงอายุที่มีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง
และรับรู้ว่าสถานภาพสุขภาพของตนในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ดี
จะเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพเกี่ยวกับ การดูแลเอาใจใส่ในเรื่องอาหาร
รับผิดชอบในสุขภาพ
และการผ่อนคลายความเครียดมากกว่าผู้สูงอายุที่ไม่มีลักษณดังกล่าว
2.
การเชื่ออำนาจในตน (health locus of control) ผู้สูงอายุที่เชื่ออำนาจในตนสูง
จะมีพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพสูง
การส่งเสริมสุขภาพในวัยสูงอายุ สุขภาพของวัยสูงอายุจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของวัยที่ผ่านมา
การส่งเสริมสุขภาพในวัยสูงอายุ
เป็นการดำรงรักษาสุขภาพให้คงสภาพเดิมไว้นานที่สุดมากกว่าที่จะทำให้สุขภาพดีขึ้นกว่าวัยที่ผ่านมา
การดำรงรักษาสุขภาพในวัยสูงอายุได้แก่
4.1 อาหาร
การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหารที่เหมาะสมเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการชะลอความชรา
ความต้องการพลังงานโดยทั่วไป ประมาณ 1500-2300 แคลอรี่
ต่อวันขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวร่างกาย เมื่อย่างเข้าสู่วัยสูงอายุ
ควรลดพลังงานจากอาหารลง 10% ของวัยกลางคน ผู้สูงอายุควรได้รับโปรตีน 1 กรัม
ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และควรเป็นโปรตีนที่มีคุณค่าสูงจากพืช หรือสัตว์ก็ได้ เช่น
ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่
ถ้าผู้สูงอายุได้สารอาหารโปรตีนมากเกินไปอาจจะเป็นผลเสียต่อไตและตับ
ที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อขับสารยูเรีย นอก
จากนี้ยังพบว่าโปรตีนสูงมีผลให้การดูดกลับของแคลเซียมที่ไตลดลง
แคลเซียมถูกขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น มีปัญหาทำให้เกิดกระดูกบางได้
คารโบไฮเดรท ควรจะเป็นประเภทเชิงซ้อน
เช่น ข้าว แป้ง เพราะให้น้ำตาลตํ่า กว่าคาร์โบไฮเดรทเชิงเดี่ยว
ถ้าผู้สูงอายุได้คาร์โบไฮเดรทน้อยเกินไป อาจทำให้ร่างกายเกิดการสะสมของสารคีโตน
มีผลให้เสียดุลกรดด่างเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ ควรได้คาร์โบไฮเดรท ร้อยละ 55-60
ของพลังงานจากอาหารทั้งหมด
ไขมัน ควรเป็นไขมันจากพืช เช่น
น้ำมันข้าวโพด นํ้ามันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว และรับประทานไขมันจากสัตว์ให้น้อยที่สุด
ไม่ควรรับประทานไขมันมากกว่าร้อยละ 30 ของพลังงานจากอาหารทั้งหมด ควรได้วิตามินสูง
เพื่อป้องกันการขาดซึ่งมักเกิดจากการดูดซึมไม่ดี
และมีแบคทีเรียที่ช่วยสร้างวิตามินบีน้อยลง
การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุรับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้น จะช่วยให้ได้วิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอ
และช่วยให้การขับถ่ายสะดวก วิตามินที่มีความสำคัญ ในผู้สูงอายุ คือ บี 1 และบี 2
เพราะช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น ระบบประสาทแข็งแรง ช่วยให้เจริญอาหาร
การย่อยอาหารดีขึ้น บี 1 มีมากในเนื้อหมู ถั่ว ข้าว บี 2 มีมากในตับ หัวใจ ถั่ว
ผัก ใบเขียว นม วิตามินซี ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด วิตามินเอ
จะช่วยรักษาสุขภาพ ของดวงตาบำรุงรักษาผม มีมากในตับ ไข่แดง นม
แคลเซียมเป็นธาตุที่สำคัญในการป้องกันกระดูกบางซึ่งมีมากในนม
การจัดอาหารให้ผู้สูงอายุรับประทานควรจะเป็นไปตามความชอบ
และนิสัยการรับประทานอาหารเดิม
การเปลี่ยนแปลงชนิดของอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย
อาจทำให้ผู้สูงอายุไม่ยอมรับประทานเลยก็ได้ ถ้าผู้สูงอายุรับประทานอาหารได้น้อย
และได้ อาหารไม่ครบส่วนอาจจะต้องเสริมให้ในรูปของยา
4.2 การออกกำลังกาย
กิจกรรมของผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้แรงกายน้อยลง
เนื่องจากกล้ามเนื้อกระดูกและข้อเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม และเมื่อผู้สูงอายุนั่งๆ
นอนๆ ไม่มีกิจกรรมใดๆ จะยิ่งทำให้อวัยวะเหล่านั้นเสื่อมลงเร็วขึ้น
ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้เวียนศีรษะ เป็นลม เมื่อลุกนั่งหรือยืน
เนื่องจากร่างกายปรับตัวไม่ทัน การออกกำลังกายจะช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดมีสมรรถภาพที่ดีช่วยป้องกันอาการหน้ามืดขณะเปลี่ยนท่าได้
เพราะหลอดเลือดดำบริเวณขามีแรงบีบเลือดกลับสู่หัวใจได้มากและเร็วขึ้น
และหัวใจก็สามารถบีบตัวแรงขึ้นโดยฉับพลัน ความดันโลหิตจึงไม่ตกลงมากขณะเปลี่ยนท่า
นอกจากนี้การออกกำลังกายยังมีการเคลื่อนไหวข้อและมีการใช้กล้ามเนื้อ
ให้น้ำหล่อเลี้ยงข้อมีมากพอทำให้ข้อไม่ติด เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
หลักการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ
1. ควรออกกำลังกายอย่างช้าๆ
และเลือกออกกำลังกายชนิดที่ไม่ต้องใช้แรงมากเกินไป และค่อยๆ
เพิ่มการออกกำลังกายขึ้นทีละน้อย
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3.
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแดด หรือขณะอากาศร้อนอบอ้าว
หรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ
4.
หลีกเลี่ยงการออกกำลังที่มากเกินไป คือ ถ้าชีพจรยังเต้นเร็วนานเกิน 10 นาที
หรือยังมีอาการปวดข้อหลังออกกำลังเกิน 2 ชั่วโมง หรือเป็นอยู่จนถึงก่อนออกกำลังครั้งใหม่
แสดงว่าการออกกำลังนั้นมากเกินไป
5. ถ้าออกกำลังเป็นหมู่หลายคน
ควรอยู่ในวัยเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงการฝืนทำ เพราะจะเป็นอันตราย
6.
ควรได้รับการทดสอบร่างกายก่อนเริ่มออกกำลังกายครั้งแรก
การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุที่ไม่ได้ฝึกออกกำลังกายมาก่อนคือการเดิน
โดยเริ่มแรกอาจจะเดินแบบธรรมดาบนที่ราบระยะทางไม่ไกลนักอาจเดินเล่นบริเวณบ้าน
ต่อมาจึงค่อยๆ เพิ่มระยะทางมากขึ้นตามความเหมาะสม
ส่วนผู้ที่แข็งแรงและมีการออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ อาจจะเล่นกีฬาเหมือนที่เคยเล่น
แต่จะต้องระวังและหยุดเล่นทันที ถ้ารู้สึกเหนื่อยมาก หายใจหอบ เวียนศีรษะ หูอื้อ
ลมออกหู หรือชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ คือ เต้น 120-130 ครั้ง/นาที
อาการผิดปกติเหล่านี้แสดงถึงการออกกำลังที่มากเกินไปของผู้สูงอายุ
4.3 การส่งเสริมสุขภาพจิต
สุขภาพจิตของผู้สูงอายุขึ้นอยู่กับการปรับตัวและ ภาระงานพัฒนาการอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและทางด้านสังคม
ซึ่งผู้สูงอายุจะต้องปรับตัวหลายๆ ด้านเพื่อสุขภาพจิตที่ดี ที่สำคัญได้แก่
1.
ยอมรับความเสื่อมโทรมของร่างกายและสุขภาพทั่วๆ ไป
2.
เตรียมและปรับตัวต่อการเกษียณอายุและรายได้ที่ลดลง
3. การสูญเสียชีวิตของคู่สมรสที่อาจจะเกิดขึ้น
4.
คงความสัมพันธ์กับบุคคลที่อยู่ในวัยเดียวกันและมีความสนใจ เหมือนๆ กัน
5.
กำหนดสถานที่อยู่อาศัยในสภาพที่ตนเองพอใจ
6.
ปรับแผนการดำเนินชีวิตให้ได้รับความพึงพอใจจากการเปลี่ยนบทบาท
7.
ปรับตัวต่อการสร้างสัมพันธภาพใหม่กับบุคคลอื่นๆ ในครอบครัวของลูก
8.
เรียนรู้และพัฒนาการใช้เวลาว่างเพื่อช่วยเสริมบทบาทเดิมที่เสียไป
9. ปรับตัวต่อการอยู่คนเดียว
10.
เรียนรู้และยอมรับการพึ่งพาผู้อื่น
ถ้าผู้สูงอายุยังมีร่างกายแข็งแรง
และช่วยเหลือตัวเองได้ ปัญหาจะไม่ค่อยมากนัก แต่ถ้าเมื่อไรที่ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระแก่ครอบครัวและลูกหลาน
บุคคลในครอบครัว ทุกคนจะต้องพยายามเข้าใจความรู้สึกของผู้สูงอายุ
การปฏิบัติตัวของลูกหลานที่จะเป็นการช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตแก่ผู้สูงอายุได้แก่
1.
การให้เกียรติและเคารพนบนอบต่อผู้สูงอายุ
2. ให้ความดูแลเอาใจใส่ไม่แสดงอาการรำคาญหรือรังเกียจไม่ว่าทางสีหน้า
ท่าทางหรือด้วยวาจา
3. ปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ
และยอมรับฟังความคิดเห็น โดยแสดงอาการโต้แย้งให้น้อยที่สุด
4. ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ
ของครอบครัว เช่น งานวันเกิดของบุตรหลาน ให้ท่านมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมให้งานวันสำคัญทางศาสนา
ให้ท่านมีโอกาสไปร่วมทำบุญ ตามความศรัทธา เมื่อมีแขกมาบ้าน
แนะนำให้แขกรู้จักท่านให้ท่านได้มีโอกาสพูดคุยกับแขกเป็นต้น
5.
ให้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องในวัยเดียวกัน
การมีโอกาสพบปะพูดคุยกับบุคคลที่รู้จักหรือคุ้นเคยมาในอดีตเป็นความสุขอย่างยิ่งของผู้สูงอายุ
ซึ่งญาติควรจะหาโอกาสตอบสนองความต้องการนี้แก่ผู้สูงอายุบ้างเป็นครั้งคราว
โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องมีผู้ไปรับไปส่ง
ให้ถือเป็นภารกิจของลูกหลานที่พึงกระทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น