ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์
1.
ความน่าเชื่อมั่นของหลักฐานระดับปานกลาง
1.
APOE e4
genotype
2.
การใช้ฮอร์โมนเพศเอสโทรเจนร่วมกับเมทธิวโปรเจสเตอโรน
2.
ความน่าเชื่อมั่นของหลักฐานระดับต่ำ
1.
การใช้ยาต้านการอักเสบสเตียรอยด์
(non-steroidal
anti-inflammatory drugs)บางชนิด
2.
โรคซึมเศร้า
3.
เบาหวาน
4.
ไขมันในเลือดสูงในวัยกลางคน
5.
อุบัติเหตุต่อสมองในเพศชาย
6.
การได้รับยาฆ่าแมลง
7.
คนโสด
ได้รับการสนับสนุนทางสังคมน้อย
8.
กำลังสูบบุหรี่
ปัจจัยที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์
2.
กรดโฟลิก
3.
ยาลดไขมัน
statins
4.
การศึกษาสูง
5.
ดื่มอัลกอฮอล์ระดับน้อยถึงปานกลาง
6.
เข้าร่วมกิจกรรมที่กระตุ้นการรู้คิด
7.
การออกกำลังกาย
ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์
1.
ความน่าเชื่อมั่นของหลักฐานระดับสูง
1.
สารสกัดใบแปะก๊วย
2.
ความน่าเชื่อมั่นของหลักฐานระดับปานกลาง
1.
วิตะมินอี
2.
ยากลุ่ม
cholinesterase
inhibitors
3.
ความน่าเชื่อมั่นของหลักฐานระดับต่ำ
1.
ยาลดความดันโลหิต
2.
การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจน
3.
กรดไขมันโอเมก้า-3
4.
วิตะมินบี
12 วิตะมินซี เบต้าคาโรทีน
5.
โฮโมซิสเตอีน
6.
ความดันโลหิตสูง
7.
อ้วน
8.
กลุ่มอาการทางเมตะโบลิก
9.
ปัจจัยเสี่ยงในวัยเด็ก
10.
ระดับของอาชีพ
11.
สารตะกั่ว
ปัจจัยที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะบอกถึงความสัมพันธ์ได้
1.
การรับประทานไขมันอิ่มตัวสูง
2.
การรับประทานผักและผลไม้
3.
แร่ธาตุ
4.
การรับประทานพลังงานสูง
5.
Memantine
6.
การหยุดหายใจในขณะหลับ
7.
โรควิตกกังวล
8.
การเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ได้กระตุ้นการรู้คิดหรืออกกำลังกาย
9.
สารทำละลาย
อลูมิเนี่ยม
10.
ปัจจัยทางพันธุกรรมอื่นๆ
นอกจาก APOE
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนในเรื่องปัจจัยที่ส่งเสริมหรือป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อม
แต่ไม่ได้แปลว่าปัจจัยที่ศึกษามานั้นไม่ได้เป็นปัจจัยของการเกิดโรคจริงๆ
เพียงแต่ยังขาดข้อมูลที่มีน้ำหนักทางวิชาการที่เพียงพอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีการศึกษาถึงแต่ละปัจจัยไม่มากนัก
มีความแตกต่างของการศึกษาเป็นอันมาก การวัดประเมินปัจจัยและผลลัพธ์ไม่มีความแม่นยำ
การศึกษาวิจัยให้ผลแตกต่างออกไปในการศึกษาอื่น และถึงแม้จะพบความสัมพันธ์จริงๆ
ก็มักเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สูงมากนัก การวิจัยที่เหมาะสมอาจต้องเป็นการศึกษาวิจัยที่เป็น
observational studies ที่มีการวางแผนในการวิจัยที่ดี
และอาจจำเป็นต้องศึกษาถึงปัจจัยของโรคหลายๆ ปัจจัยพร้อมๆ กัน
และการให้การแก้ไขปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน
เพราะการศึกษาแยกแต่ละปัจจัยเสี่ยงอาจไม่เป็นผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเกิดภาวะสมองเสื่อม
การป้องกันภาวะสมองเสื่อมในชีวิตประจำวัน
ถึงแม้ว่ายังต้องอาศัยการศึกษาวิจัยที่ยืนยันมากกว่านี้ในด้านการป้องกันภาวะสมองเสื่อมแต่แนวทางการปฏิบัติตัวโดยทั่วไปมีดังนี้
1. รับประทานอาหารครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลสูง ใช้น้ำมันพืช เช่น น้ำมันจากดอกทานตะวันถั่วเมล็ดแห้งเมล็ดฟักทองถั่วเหลืองเป็นต้น รับประทานปลาทะเลให้มาก รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีวิตามินอีและกรดโฟลิกสูง
2.รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์โดยไม่ให้ดรรชนีมวลกายเกิน25
3. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัดหรือการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น
4.ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ในที่ๆมีควันบุหรี่
5. การฝึกฝนสมอง ได้แก่ การพยายามฝึกให้สมองได้คิดบ่อยๆ เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือบ่อยๆ คิดเลขดูเกมส์ตอบปัญหาฝึกหัดการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆเป็นต้น
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง เช่น วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน เดินเล่น รำมวยจีน เป็นต้น
7.การพูดคุยพบปะผู้อื่นบ่อยๆเช่นไปวัดไปงานเลี้ยงต่างๆหรือเข้าชมรมผู้สูงอายุเป็นต้น
8.ตรวจสุขภาพประจำปีหรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะเช่นการตรวจหา ดูแลและรักษาโรคความดันโลหิตสูงโรคเบาหวานโรคไขมันในเลือดสูงโรคหัวใจเป็นต้น
9. ถ้ามีอาการเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นโดยเฉพาะในผู้สูงอายุเพื่อลดโอกาสเกิดอาการสับสนเฉียบพลัน
10.ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมองระวังการหกล้มเป็นต้น
11. พยายามมีสติในสิ่งต่างๆ ที่กำลังทำและฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลา
1. รับประทานอาหารครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลสูง ใช้น้ำมันพืช เช่น น้ำมันจากดอกทานตะวันถั่วเมล็ดแห้งเมล็ดฟักทองถั่วเหลืองเป็นต้น รับประทานปลาทะเลให้มาก รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีวิตามินอีและกรดโฟลิกสูง
2.รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์โดยไม่ให้ดรรชนีมวลกายเกิน25
3. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัดหรือการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น
4.ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ในที่ๆมีควันบุหรี่
5. การฝึกฝนสมอง ได้แก่ การพยายามฝึกให้สมองได้คิดบ่อยๆ เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือบ่อยๆ คิดเลขดูเกมส์ตอบปัญหาฝึกหัดการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆเป็นต้น
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง เช่น วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน เดินเล่น รำมวยจีน เป็นต้น
7.การพูดคุยพบปะผู้อื่นบ่อยๆเช่นไปวัดไปงานเลี้ยงต่างๆหรือเข้าชมรมผู้สูงอายุเป็นต้น
8.ตรวจสุขภาพประจำปีหรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะเช่นการตรวจหา ดูแลและรักษาโรคความดันโลหิตสูงโรคเบาหวานโรคไขมันในเลือดสูงโรคหัวใจเป็นต้น
9. ถ้ามีอาการเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นโดยเฉพาะในผู้สูงอายุเพื่อลดโอกาสเกิดอาการสับสนเฉียบพลัน
10.ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมองระวังการหกล้มเป็นต้น
11. พยายามมีสติในสิ่งต่างๆ ที่กำลังทำและฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น