พฤติกรรมความเสี่ยง
หากบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีปัจจัยเสี่ยงหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันของบุคคลนั้นซึ่งนอกจากจะมีผลกระทบต่อตัวบุคคลผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงแล้วยังส่งผลกระทบไปถึงครอบครัว ชุมชน
และสังคมด้วย
ดังนั้นการศึกษาทำความเข้าใจและรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงตลอดจนความรุนแรงต่างๆ
จะทำให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย
1.ปัจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยง และแนวการป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ
1.1. พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ หมายถึง
พฤติกรรมการกระทำของบุคคลที่ส่งผลกระทบต่อตนเอง
ครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อมดังต่อไปนี้
1.พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
2.พฤติกรรมการติดสารเสพติด
3.พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
1.2. ปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ หมายถึง
สถานการณ์ การกระทำ
หรือสิ่งแวดล้อมที่มีผลให้ประชาชนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรค ได้แก่
1.พันธุกรรม
2.สิ่งแวดล้อม
3.เศรษฐกิจ
ความรุนแรง หมายถึง
การแสดงออกหรือการกระทำโดยเจตนาใช้กำลังกาย คำพูดหรืออำนาจข่มขู่ในการต่อต้านตนเอง ผู้อื่น
หรือชุมชน
ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ตลอดจนการจำกัดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเพื่อเป็นการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติสุข
เราทุกคนต้องสามารถวิเคราะห์ถึงปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพตนเองและหาทางป้องกันได้
ซึ่งมีวิธีหลีกเลี่ยงในการแก้ปัญหาที่เข้ามาในชีวิต เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพสืบไป
ปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
และความปลอดภัย
ปัจจัยเสี่ยง หมายถึง
องค์ประกอบด้านกายภาพสังคม
หรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
ชีวิตหรือทรัพย์สินพฤติกรรมเสี่ยงหมายถึงการกระทำของบุคคลที่อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
ชีวิต หรือทรัพย์สิน
ในปัจจุบันโลกมีความเจริญขึ้นแต่ความปลอดภัยกลับลดน้อยลง
ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพความปลอดภัยมากมายในที่นี้จะขอนำเสนอเพียงบางส่วนซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อชีวิตคนเรา
1. พฤติกรรมสุขภาพเป็นการปฏิบัติตนที่มีผลต่อสุขภาพ
หากปฏิบัติตนไม้เหมาะสมจะทำ
ให้สุขภาพเสื่อมลง เช่น
การไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การใช้สารเสพติดการสำส่อนทางเพศ
การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การไม่ระวังโรคติดต่อ เป็นต้น
2.การสัญจร
โดยพาหนะทั้งที่เป็นรถยนต์รถจักรยานยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน เป็นต้น
ยิ่งมีการสัญจรเดินทางมากอุบัติเหตุก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
3.สิ่งแวดล้อม
ในปัจจุบันมีมลพิษมากมากทำให้สิ่งแวดล้อมแย่ลง ดังนั้น
คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีขยะส่งกลิ่นเหม็น น้ำเน่า อากาศเป็นพิษ มีพวกมิจฉาชีพมากสารเสพติดแพร่ระบาดมาก
ใกล้โรงอุตสาหกรรมสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดอันตารายต่อสุขภาพและชีวิตมากพอสมควร
4. การอุปโภค
คือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆปัจจุบันมีเครื่องอุปโภคที่แฝงไว้ด้วยพิษภัยหลายอย่าง เช่น
เครื่องสำอาง เตาแก๊ส เครื่องใช่ไฟฟ้า เป็นต้น
ซึ่งถ้าไม่รู้จักเลือกใช้หรือใช้ไม่ถูกต้องก็เป็นอันตรายได้เหมือนกัน
5.การบริโภค ปัจจุบันอาหาร การกิน
มีสารพิษปนเปื้อนมากมาย เช่น ขนมผสมสีย้อมผ้า ปลาเค็มฉีดดีดีที ปลาสด แช่สารฟอร์มาลีน ผักมีสารพิษ
สิ่งเหล่านี้ เข้าไปสะสมในร่างกายจนถึงระยะหนึ่งเมื่อ
สะสมมากขึ้นจะทำไห้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติ
โรคภัยไข้เจ็บจะเบียดเบียนทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่ปลอดภัย
6. อุบัติเหตุในบ้าน
การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน
แนวปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดสารเสพติด
สาเหตุของการติดสารเสพติด
โดยทั่วไปผู้ที่ติดสารเสพติดมักมีสาเหตุ
1.สภาพทางจิต ซึ่งได้แก่ ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว มีจิตใจอ่อนแอไม่หนักแน่น มีความคึกคะนอง
อยากรู้อยากเห็น อยากลอง อยากอวดเพื่อน
คิดว่าเป็นสิ่งที่โก้เก๋ก็มีหรือแสดงความเป็นชาย
แต่ผู้หญิงบางคนก็เสพสารเสพติดเพราะคิดว่าโก้เก๋ก็มี
2. สภาพแวดล้อม
ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีผู้ใช้และผู้ขายสารเสพติดกันมาก มีเพื่อนฝูง
ที่ใช้สารเสพติด มีสิ่งยั่วยุ แหล่งบันเทิงเริงรมย์
ซึ่งเป็นแหล่งที่มักมีสารเสพติดใช้กัน
3.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เนื่องจากขาดความรู้และประสบการณ์
อาจถูกเพื่อนหลอกให้เสพหรือไม่รู้ถึงพิษภัยว่าร้ายแรงเพียงใด
หรือสารเสพติดบางอย่างเสพครั้งสองครั้งก็ติด
4.ความจำเป็นของร่างกาย
ใช้เนื่องจากระงับความเจ็บปวด
ลดความตึงเครียดทางประสาทหรือบางอาชีพต้องทำงานหนักเป็นเวลานาน
จึงใช้สารเสพติดเพื่อให้ทำงานได้นาน
การออกฤทธิ์ของสารเสพติด
ฤทธิ์ของสารเสพติด แบ่งได้เป็น 4 แบบ ดังนี้
1. ออกฤทธิ์กดประสาท ( Depressant )
จะทำให้เกิดอาการมึนงงง่วงซึมหมดแรงหายใจช้าลง สารเสพติดที่ออกฤทธิ์กดประสาทได้แก่ ยานอนหลับ
เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น
เมธาโดน เซโคนัล บาร์บิทูเรต
ฟีโนบาร์บิตาล โบรไมด์ พาราดีไฮด์
2. ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ( Stimulant
) จะทำให้ประสาทตื่นตัว กระวนกระวายไม่ง่วงนอน แต่ถ้าหมดฤทธิ์ยาจะง่วงนอนทันที อาจทำให้หลับง่ายหรืออาจเกิดการหลับใน อาการ
อื่นๆ เช่น ตัวสั่น เครียดเป็นต้น
สารเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ได้แก่ ใบกระท่อม ยาบ้า โคเคอีน
3. ออกฤทธิ์หลอนประสา ( Hallucinogen
) จะทำให้ประสาทหลอน
ประสาทสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น
การสัมผัสจะเปลี่ยนไปจากความเป็นจริง
สารเสพติดที่ออกฤทธิ์หลอนประสาทได้แก่ กัญชา แอล.เอส.ดี ( Lysergic Acid
Dicthylamide : L.S.D.) ดี.เอ็ม.ที (Dimethy
Tryptamine : D.M.T.) กาว ทินเนอร์
4.ออกฤทธิ์ผสมผสานกัน ( Mixed
) จะออกฤทธิ์ทั้ง 2 แบบรวมกันหรือทั้ง 3 แบบรวมกันดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สารเสพติดที่ออกฤทธิ์ผสมผสานกัน
ได้แก่ กัญชา ถ้าเสพจำนวนน้อย
จะกดประสาทชั่วระยะหนึ่ง
ต่อเมื่อเสพเพิ่มเข้าไปมากจะกลายเป็นพิษหลอนประสาทได้
สารระเหยเมื่อสูดดมในระยะแรกจะกระตุ้นประสารทต่อมาจะหลอนประสาท
วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
สารเสพติดมีอันตรายต่อผู้ใช้หรือผู้เสพ
ดังนั้น เราจึงต้องมีวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
1.ครอบครัวที่อบอุ่นจะเป็นรั้วป้องกันสารเสพติดได้เป็นอย่างดี
2. ต้องมีใจคอหนักแน่น อาจมีเพื่อน
ชักชวนให้เสพก็ต้องปฏิเสธอย่าไปเสพไม่ต้องเกรงใจเพื่อนในทางที่ผิด
3. อย่าลองเป็นอันขาด เพราะจะนำไปสู่การใช้สารเสพติดบ่อยครั้งจนเกิดการติดได้
สารเสพติดบางอย่างเสพครั้งสองครั้งก็ติดแล้ว
4. ต้องคิดใหม่ อย่าคิดแบบเก่า ๆ คือคิดว่าการเสพสารเสพติดเป็นสิ่งที่โก้เก๋
เป็นคนเก่ง
เพื่อนฝูงจะยอมรับ ควรคิดใหม่ คือต้องคิดว่าคนที่เสพเป็นคนที่เสพเป็นคนที่น่าอับอาย
น่ารังเกียจเป็นคนอ่อนแอชักจูงง่าย
ถ้าเพื่อนฝูงไม้รับเพราะเราไม้เสพก็ชั่งเขาไม้ต้องไปคบด้วยกับเพื่อนคนที่ชักชวน
เราไปสู่ความหายนะ
5. ต้องตระหนักถึงพิษภัยเพราะสารเสพติดทุกชนิดมีพิษภัยต่อร่างกายทั้งสิ้น
6. ต้องตระหนักว่าการที่นักเรียนไปใช้สารเสพติด ถ้าพ่อแม่
ผู้ปกครองรู้จะทำให้ท่านเสียใจ
7. พยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้สารเสพติด เช่น
หลีกเลี่ยงจากเพื่อน
ที่ใช้สารเสพติด ไม่ไปเที่ยวสถานบันเทิงเริงรมย์ เป็นต้น
8. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสารเสพติดชนิดต่าง
ๆ
เพื่อให้รู้ถึงอันตรายและเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงและป้องกัน
9. ไม่ใช้สารเสพติดเพื่อการรักษาโรคด้วยตนเอง
ยาบางชนิดมีสารเสพติดผสมอยู่ เช่น ยาระงับปวดบางชนิด ยาแก้ไอบางชนิด
10. ควรหากิจกรรมทำอย่าให้มีเวลาว่างมาก
ขณะนี้มีคำที่นิยมใช้และมีการจัดตั้งกันมากมายก็คือ “ ลานกีฬาต้านยาเสพติด
’’ ซึ่งการเล่นกีฬาจะทำให้สนุกสนาน มีเวลาว่างน้อยลง
ก็จะช่วยไม่ให้คนเราหันเหไปใช้สารเสพติดได้
11. ถ้ามีปัญหาไม่พึ่งสารเสพติด
ควรปรึกษาพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ญาติผู้ใหญ่
12. ถ้าพบว่ามีการจำหน่ายจ่ายแจกสารเสพติดกันในบริเวณโรงเรียนให้แจ้งครูอาจารย์
ถ้านอกโรงเรียนให้บอกผู้ปกครองให้ไปแจ้งตำรวจแต่ต้องระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัยด้วยเพราะถ้าผู้จำหน่ายรู้ว่าใครขัดผลประโยชน์หรือทำให้เขาเดือดร้อน
ความหมายและประเภทของความรุนแรง
ความรุนแรง หมายถึงการทำร้ายทางร่างกาย
การทำร้ายทางจิตใจ การทำร้ายทางเพศ และการทอดทิ้งเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ความรุนแรงมี 4 ประเภท
1. การทำร้ายร่างกาย คือ
มักเกิดจากการทุบ ตี ต่อย เตะ จับศีรษะโขกกับของแข็ง ใช้เทียนหยดลงตามตัว ขว้างปาด้วยสิ่งของ แทง ฟัน ยิง หรือทรมานร่างกายด้วยวิธีต่าง
ๆ
2. การทำร้ายทางจิตใจ
เป็นการกระทำด้วยกิริยาวาจา ทาทาง สายตา สีหน้า จนทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บชำนำใจ อับอาย อาจถึงขั้นคิดสั้นได้
การกระทำดังกล่าว ได้แก่ การด่า
บังคับขู่เข็ญการดูถูกเหยียดหยามการเยาะเย้ยถากถาง การข่มขู่ การไล่ออกจากบ้าน
การหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตลอดจนการรบกวนต่าง ๆ ทางจิตใจของผู้ผูกกระทำ
3. การทำรายทางเพศ
ผู้ที่ถูกทำร้ายทางเพศมักได้แก่เพศหญิงและมีเด็กชายบ้างเหมือนกัน
ลักษณะการทำร้ายทางเพศมีหลายรูปแบบ เช่น การถูกจับหน้าอก ถูกจับก้น
ถูกจับอวัยวะเพศ การถูกฝ่ายชายเอาอวัยวะเพศมาถูไถร่างก่ายขณะอยู่ในชุมชน
การถูกปลุกปล้ำ การถูกข่มขืน
โดยผู้ชายคนเดียว การถูกข่มขืนโดยผู้ชายหลายคน การถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าเพื่อถ่ายภาพ
ถูกพูดจาลวนลาม ล่วงเกินทางเพศ
ถูกตัดแต่งภาพโดยใช้รูปโป๊ของผู้อี่นแต่ใช้หน้าผู้เสียหายออก เผยแพร่ให้ สาธารณชนได้เห็น เป็นต้น
4. การทอดทิ้งเด็ก อาจทอดทิ้งตั้งแต่แรกเกิด จนถึงการทอดทิ้งเด็กโตซึงอายุไม่ไม่เกิน 18 ปี
จนผู้ทอดทิ้งได้รับความเดือดร้อน
หรือถึงขั้นเสียชีวิต
ปัจจุบันนี้เรื่องการทอดทิ้งเด็ก เด็กมีมากมายในสังคมไทยทั้งนี้เกิดจากความ
ไม่รับผิดชอบของผู้ใหญ่และพวกไวรุ่นใจแตก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น