วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พฤติกรรมความเสี่ยง

พฤติกรรมความเสี่ยง


หากบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีปัจจัยเสี่ยงหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันของบุคคลนั้นซึ่งนอกจากจะมีผลกระทบต่อตัวบุคคลผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงแล้วยังส่งผลกระทบไปถึงครอบครัว  ชุมชน  และสังคมด้วย  ดังนั้นการศึกษาทำความเข้าใจและรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงตลอดจนความรุนแรงต่างๆ จะทำให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย
  
1.ปัจจัยเสี่ยง  พฤติกรรมเสี่ยง  และแนวการป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ
1.1. พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ  หมายถึง พฤติกรรมการกระทำของบุคคลที่ส่งผลกระทบต่อตนเอง  ครอบครัว  สังคม  และสิ่งแวดล้อมดังต่อไปนี้
1.พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
2.พฤติกรรมการติดสารเสพติด
3.พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
1.2. ปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ  หมายถึง  สถานการณ์ การกระทำ หรือสิ่งแวดล้อมที่มีผลให้ประชาชนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรค ได้แก่
1.พันธุกรรม
2.สิ่งแวดล้อม
3.เศรษฐกิจ
ความรุนแรง  หมายถึง  การแสดงออกหรือการกระทำโดยเจตนาใช้กำลังกาย  คำพูดหรืออำนาจข่มขู่ในการต่อต้านตนเอง ผู้อื่น หรือชุมชน  ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจ  ตลอดจนการจำกัดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเพื่อเป็นการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติสุข  เราทุกคนต้องสามารถวิเคราะห์ถึงปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพตนเองและหาทางป้องกันได้ ซึ่งมีวิธีหลีกเลี่ยงในการแก้ปัญหาที่เข้ามาในชีวิต  เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพสืบไป
ปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และความปลอดภัย

ปัจจัยเสี่ยง   หมายถึง   องค์ประกอบด้านกายภาพสังคม หรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ  ชีวิตหรือทรัพย์สินพฤติกรรมเสี่ยงหมายถึงการกระทำของบุคคลที่อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต   หรือทรัพย์สิน ในปัจจุบันโลกมีความเจริญขึ้นแต่ความปลอดภัยกลับลดน้อยลง  ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพความปลอดภัยมากมายในที่นี้จะขอนำเสนอเพียงบางส่วนซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อชีวิตคนเรา
1. พฤติกรรมสุขภาพเป็นการปฏิบัติตนที่มีผลต่อสุขภาพ หากปฏิบัติตนไม้เหมาะสมจะทำ
ให้สุขภาพเสื่อมลง เช่น การไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การใช้สารเสพติดการสำส่อนทางเพศ  การพักผ่อนไม่เพียงพอ  การไม่ระวังโรคติดต่อ  เป็นต้น
2.การสัญจร โดยพาหนะทั้งที่เป็นรถยนต์รถจักรยานยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน เป็นต้น ยิ่งมีการสัญจรเดินทางมากอุบัติเหตุก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
3.สิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันมีมลพิษมากมากทำให้สิ่งแวดล้อมแย่ลง ดังนั้น  คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีขยะส่งกลิ่นเหม็น  น้ำเน่า อากาศเป็นพิษ  มีพวกมิจฉาชีพมากสารเสพติดแพร่ระบาดมาก ใกล้โรงอุตสาหกรรมสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดอันตารายต่อสุขภาพและชีวิตมากพอสมควร
4. การอุปโภค คือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆปัจจุบันมีเครื่องอุปโภคที่แฝงไว้ด้วยพิษภัยหลายอย่าง  เช่น  เครื่องสำอาง  เตาแก๊ส  เครื่องใช่ไฟฟ้า  เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่รู้จักเลือกใช้หรือใช้ไม่ถูกต้องก็เป็นอันตรายได้เหมือนกัน
5.การบริโภค ปัจจุบันอาหาร การกิน มีสารพิษปนเปื้อนมากมาย เช่น ขนมผสมสีย้อมผ้า ปลาเค็มฉีดดีดีที   ปลาสด แช่สารฟอร์มาลีน  ผักมีสารพิษ  สิ่งเหล่านี้ เข้าไปสะสมในร่างกายจนถึงระยะหนึ่งเมื่อ สะสมมากขึ้นจะทำไห้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติ   โรคภัยไข้เจ็บจะเบียดเบียนทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่ปลอดภัย
6. อุบัติเหตุในบ้าน การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน

แนวปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดสารเสพติด

สาเหตุของการติดสารเสพติด โดยทั่วไปผู้ที่ติดสารเสพติดมักมีสาเหตุ
1.สภาพทางจิต ซึ่งได้แก่ ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว  มีจิตใจอ่อนแอไม่หนักแน่น มีความคึกคะนอง อยากรู้อยากเห็น อยากลอง อยากอวดเพื่อน คิดว่าเป็นสิ่งที่โก้เก๋ก็มีหรือแสดงความเป็นชาย  แต่ผู้หญิงบางคนก็เสพสารเสพติดเพราะคิดว่าโก้เก๋ก็มี
2. สภาพแวดล้อม ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีผู้ใช้และผู้ขายสารเสพติดกันมาก มีเพื่อนฝูง ที่ใช้สารเสพติด มีสิ่งยั่วยุ แหล่งบันเทิงเริงรมย์ ซึ่งเป็นแหล่งที่มักมีสารเสพติดใช้กัน
3.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากขาดความรู้และประสบการณ์ อาจถูกเพื่อนหลอกให้เสพหรือไม่รู้ถึงพิษภัยว่าร้ายแรงเพียงใด หรือสารเสพติดบางอย่างเสพครั้งสองครั้งก็ติด
4.ความจำเป็นของร่างกาย ใช้เนื่องจากระงับความเจ็บปวด  ลดความตึงเครียดทางประสาทหรือบางอาชีพต้องทำงานหนักเป็นเวลานาน จึงใช้สารเสพติดเพื่อให้ทำงานได้นาน
การออกฤทธิ์ของสารเสพติด

ฤทธิ์ของสารเสพติด แบ่งได้เป็น 4  แบบ ดังนี้
1.  ออกฤทธิ์กดประสาท ( Depressant )  จะทำให้เกิดอาการมึนงงง่วงซึมหมดแรงหายใจช้าลง  สารเสพติดที่ออกฤทธิ์กดประสาทได้แก่  ยานอนหลับ  เฮโรอีน  มอร์ฟีน  ฝิ่น  เมธาโดน  เซโคนัล  บาร์บิทูเรต  ฟีโนบาร์บิตาล  โบรไมด์  พาราดีไฮด์
2. ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท  (  Stimulant ) จะทำให้ประสาทตื่นตัว กระวนกระวายไม่ง่วงนอน  แต่ถ้าหมดฤทธิ์ยาจะง่วงนอนทันที  อาจทำให้หลับง่ายหรืออาจเกิดการหลับใน อาการ อื่นๆ เช่น ตัวสั่น เครียดเป็นต้น   สารเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ได้แก่ ใบกระท่อม ยาบ้า โคเคอีน
3. ออกฤทธิ์หลอนประสา ( Hallucinogen )  จะทำให้ประสาทหลอน ประสาทสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น    การสัมผัสจะเปลี่ยนไปจากความเป็นจริง  สารเสพติดที่ออกฤทธิ์หลอนประสาทได้แก่ กัญชา แอล.เอส.ดี          ( Lysergic  Acid  Dicthylamide : L.S.D.)  ดี.เอ็ม.ที (Dimethy  Tryptamine : D.M.T.) กาว ทินเนอร์
4.ออกฤทธิ์ผสมผสานกัน ( Mixed ) จะออกฤทธิ์ทั้ง 2 แบบรวมกันหรือทั้ง 3 แบบรวมกันดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สารเสพติดที่ออกฤทธิ์ผสมผสานกัน ได้แก่  กัญชา ถ้าเสพจำนวนน้อย จะกดประสาทชั่วระยะหนึ่ง  ต่อเมื่อเสพเพิ่มเข้าไปมากจะกลายเป็นพิษหลอนประสาทได้  สารระเหยเมื่อสูดดมในระยะแรกจะกระตุ้นประสารทต่อมาจะหลอนประสาท
วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
สารเสพติดมีอันตรายต่อผู้ใช้หรือผู้เสพ ดังนั้น เราจึงต้องมีวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
1.ครอบครัวที่อบอุ่นจะเป็นรั้วป้องกันสารเสพติดได้เป็นอย่างดี
2.  ต้องมีใจคอหนักแน่น อาจมีเพื่อน ชักชวนให้เสพก็ต้องปฏิเสธอย่าไปเสพไม่ต้องเกรงใจเพื่อนในทางที่ผิด
3.  อย่าลองเป็นอันขาด เพราะจะนำไปสู่การใช้สารเสพติดบ่อยครั้งจนเกิดการติดได้ สารเสพติดบางอย่างเสพครั้งสองครั้งก็ติดแล้ว
4.  ต้องคิดใหม่ อย่าคิดแบบเก่า ๆ คือคิดว่าการเสพสารเสพติดเป็นสิ่งที่โก้เก๋ เป็นคนเก่ง
เพื่อนฝูงจะยอมรับ ควรคิดใหม่ คือต้องคิดว่าคนที่เสพเป็นคนที่เสพเป็นคนที่น่าอับอาย น่ารังเกียจเป็นคนอ่อนแอชักจูงง่าย ถ้าเพื่อนฝูงไม้รับเพราะเราไม้เสพก็ชั่งเขาไม้ต้องไปคบด้วยกับเพื่อนคนที่ชักชวน เราไปสู่ความหายนะ
5. ต้องตระหนักถึงพิษภัยเพราะสารเสพติดทุกชนิดมีพิษภัยต่อร่างกายทั้งสิ้น
6. ต้องตระหนักว่าการที่นักเรียนไปใช้สารเสพติด   ถ้าพ่อแม่   ผู้ปกครองรู้จะทำให้ท่านเสียใจ
7. พยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้สารเสพติด   เช่น  หลีกเลี่ยงจากเพื่อน
ที่ใช้สารเสพติด   ไม่ไปเที่ยวสถานบันเทิงเริงรมย์   เป็นต้น
8. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสารเสพติดชนิดต่าง ๆ  เพื่อให้รู้ถึงอันตรายและเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงและป้องกัน
9. ไม่ใช้สารเสพติดเพื่อการรักษาโรคด้วยตนเอง ยาบางชนิดมีสารเสพติดผสมอยู่ เช่น ยาระงับปวดบางชนิด    ยาแก้ไอบางชนิด
10. ควรหากิจกรรมทำอย่าให้มีเวลาว่างมาก ขณะนี้มีคำที่นิยมใช้และมีการจัดตั้งกันมากมายก็คือ ลานกีฬาต้านยาเสพติด ’’ ซึ่งการเล่นกีฬาจะทำให้สนุกสนาน มีเวลาว่างน้อยลง ก็จะช่วยไม่ให้คนเราหันเหไปใช้สารเสพติดได้
11. ถ้ามีปัญหาไม่พึ่งสารเสพติด ควรปรึกษาพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ญาติผู้ใหญ่
12.  ถ้าพบว่ามีการจำหน่ายจ่ายแจกสารเสพติดกันในบริเวณโรงเรียนให้แจ้งครูอาจารย์
ถ้านอกโรงเรียนให้บอกผู้ปกครองให้ไปแจ้งตำรวจแต่ต้องระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัยด้วยเพราะถ้าผู้จำหน่ายรู้ว่าใครขัดผลประโยชน์หรือทำให้เขาเดือดร้อน

ความหมายและประเภทของความรุนแรง


ความรุนแรง หมายถึงการทำร้ายทางร่างกาย การทำร้ายทางจิตใจ การทำร้ายทางเพศ และการทอดทิ้งเด็กที่มีอายุต่ำกว่า  18  ปี ความรุนแรงมี 4  ประเภท
1. การทำร้ายร่างกาย คือ มักเกิดจากการทุบ ตี ต่อย เตะ จับศีรษะโขกกับของแข็ง ใช้เทียนหยดลงตามตัว   ขว้างปาด้วยสิ่งของ แทง ฟัน ยิง หรือทรมานร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ
2. การทำร้ายทางจิตใจ เป็นการกระทำด้วยกิริยาวาจา ทาทาง สายตา สีหน้า จนทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บชำนำใจ  อับอาย อาจถึงขั้นคิดสั้นได้ การกระทำดังกล่าว  ได้แก่ การด่า บังคับขู่เข็ญการดูถูกเหยียดหยามการเยาะเย้ยถากถาง การข่มขู่ การไล่ออกจากบ้าน การหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตลอดจนการรบกวนต่าง ๆ ทางจิตใจของผู้ผูกกระทำ
3. การทำรายทางเพศ ผู้ที่ถูกทำร้ายทางเพศมักได้แก่เพศหญิงและมีเด็กชายบ้างเหมือนกัน ลักษณะการทำร้ายทางเพศมีหลายรูปแบบ เช่น การถูกจับหน้าอก ถูกจับก้น ถูกจับอวัยวะเพศ การถูกฝ่ายชายเอาอวัยวะเพศมาถูไถร่างก่ายขณะอยู่ในชุมชน การถูกปลุกปล้ำ  การถูกข่มขืน
โดยผู้ชายคนเดียว  การถูกข่มขืนโดยผู้ชายหลายคน  การถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าเพื่อถ่ายภาพ ถูกพูดจาลวนลาม  ล่วงเกินทางเพศ  ถูกตัดแต่งภาพโดยใช้รูปโป๊ของผู้อี่นแต่ใช้หน้าผู้เสียหายออก  เผยแพร่ให้ สาธารณชนได้เห็น เป็นต้น
4. การทอดทิ้งเด็ก  อาจทอดทิ้งตั้งแต่แรกเกิด  จนถึงการทอดทิ้งเด็กโตซึงอายุไม่ไม่เกิน  18  ปี  จนผู้ทอดทิ้งได้รับความเดือดร้อน
หรือถึงขั้นเสียชีวิต ปัจจุบันนี้เรื่องการทอดทิ้งเด็ก เด็กมีมากมายในสังคมไทยทั้งนี้เกิดจากความ ไม่รับผิดชอบของผู้ใหญ่และพวกไวรุ่นใจแตก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น